วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์



แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 
ปีการศึกษา 2559


ชื่อโครงงาน โรคที่เกิดจากการติดโทรศัพท์มือถือ



ชื่อผู้ทำโครงงาน


นางสาวจุฑามาศ วุฒิ เลขที่ 22 ชั้น ม.6 ห้อง 9


ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน  
ครูเขื่อนทอง  มูลวรรณ์


ระยะเวลาดำเนินงาน ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2559


โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย  จังหวัดเชียงใหม่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 34 


ใบงาน
การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์

สมาชิกในกลุ่ม 
1. นางสาวจุฑามาศ วุฒิ เลขที่ 22

ชื่อโครงงาน (ภาษาไทย) โรคที่เกิดจากการติดโทรศัพท์มือถือ
ชื่อโครงงาน (ภาษาอังกฤษ) Diseases by phone
ประเภทโครงงาน  โครงงานการศึกษาทฤษฎี
ชื่อผู้ทำโครงงาน  นางสาวจุฑามาศ วุฒิ
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง  มูลวรรณ์
ระยะเวลาดำเนินงาน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
            เนื่องจากในปัจจุบันนี้มนุษย์มีการใช้เทคโนโลยีกันอย่างแพร่หลายทั้งในด้านที่ส่งผลดีและด้านที่ส่งผลเสีย โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือที่มีการใช้กันเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยทำงานที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ ทั้งในการติดต่อสื่อสาร การใช้เพื่อความบันเทิง และการใช้เพื่อทำกิจธุรกรรมต่างๆ ในวัยรุ่นนั้นส่วนใหญ่มักใช้โทรศัพท์มือถือในการเล่นเกม พูดคุกับเพื่อน การแชท ถ่ายรูป เล่นโซเชียล อีกทั้งนั้นยังใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานโดยจองมองอยู่ที่จอโทรศัพท์ตลอดเวลาและคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานหลายชั่วโมง วางโทรศัพท์ไว้ห่างกายไม่ได้นาน ส่งผลทำให้เกิดทั้งการสูญเสียสุขภาพจิต และสุขภาพร่างกายของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ดังนั้นทางผู้จัดทำจึงเกิดความคิดที่จะศึกษาถึงปัญหาของสุขภาพที่เกิดจากการติดการใช้โทรศัพท์มือถือมาเป็นเวลานาน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความอันตรายที่เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือที่อาจเกิด และเพื่อลดปัญหาสุขภาพดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นกับตัวของผู้ใช้โทรศัพท์เองและบุคคลรอบข้าง รวมถึงผู้จัดทำที่มีอาการติดโทรศัพท์มือถืออย่างมาก ดังนั้นกล่าวมาจึงกลายเป็นที่มาของโครงงานศึกษาโรคที่เกิดจากการติดโทรศัพท์มือถือ
วัตถุประสงค์
1. เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการติดการใช้โทรศัพท์
2. เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการติดการใช้โทรศัพท์
ขอบเขตโครงงาน 
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่
หลักการและทฤษฎี
             สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน ได้นำข้อมูลจาก คอลัมน์ ทันโรค ของ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจที่เขาจัดอันดับ 5 โรคฮิตของคนติดโซเชียลมีเดียไว้มาบอกกัน โดย 5 โรคฮิตของคนติดจอ ก็คือ โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก, โรคละเมอแชท, โรควุ้นในตาเสื่อม, โรคโนโมโฟเบีย และโรคสมาร์ทโฟนเฟซ
วิธีดำเนินงาน
            แนวทางการดำเนินงาน ศึกษาเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากการติดการใช้โทรศัพท์
            เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ โทรศัพท์มือถือ
            งบประมาณ -
ขั้นตอนและแผนดำเนินงาน

ลำดับ
ที่
ขั้นตอน
สัปดาห์ที่
ผู้รับผิดชอบ
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17

1
คิดหัวข้อโครงงาน


















2
ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล


















3
จัดทำโครงร่างงาน


















4
ปฏิบัติการสร้างโครงงาน


















5
ปรับปรุงทดสอบ


















6
การทำเอกสารรายงาน


















7
ประเมินผลงาน


















8
นำเสนอโครงงาน



















ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.      ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือตระหนักถึงอันตรายจากการติดโทรศัพท์มือถือ
2.      ลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการติดการใช้โทรศัพท์ได้
3.      ลดการใช้โทรศัพท์มือถือลง
สถานที่ดำเนินการ 
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์
แหล่งอ้างอิง  


วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

บทความที่นำมาใช้สำหรับโครงงาน


บทความที่นำมาใช้สำหรับโครงงาน

โรคที่เกิดจากการติดการใช้โทรศัพท์


 สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน ได้นำข้อมูลอธิบาย 5 โรคฮิตของคนติดจอ ก็คือ โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ค, โรคละเมอแชต, โรควุ้นในตาเสื่อม, โรคโนโมโฟเบีย และโรคสมาร์ทโฟนเฟซ ไว้ดังนี้

          1.โรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ค (Facebook Depression Syndrome)
                   อาการนี้เกิดขึ้นได้เมื่อติดอยู่แต่หน้าจอ จิ้มๆ กดๆ คุยกับคนในโลกออนไลน์ ก็กลายเป็นไปเพิกเฉยต่อคนในโลกจริง โดย ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ได้เขียนบทความให้ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊ก ไว้อย่างน่าสนใจว่า วารสารการแพทย์กุมารเวชศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ และพบว่า คนที่ถูกเพื่อน ๆ ปฏิเสธหรือเป็นที่รังเกียจในโลกเฟซบุ๊กจะเป็นอันตรายมากกว่าถูกปฏิเสธในโลกแห่งความจริง และหลายรายอาจมีปัญหาซึมเศร้าตามมา นั่นเพราะเฟซบุ๊กได้สร้างความเป็นจริงเทียม (artificial reality) ขึ้นมา จากการโพสต์แต่เรื่องดี ๆ แต่เก็บงำเรื่องร้าย ๆ แย่ ๆ ที่อยากปกปิดเอาไว้ เราถึงเห็นแต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบในโลกเสมือนจริงเต็มไปหมด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง ความรู้สึก "ไร้ค่า" จึงเกิดขึ้น ถ้าคุณรู้สึกเสียความมั่นใจสุด ๆ เวลาส่งคำร้องไปขอเป็นเพื่อนแล้วไม่ได้รับการตอบรับ เก็บมาคิดว่าทำไมจึงไม่เป็นที่ต้องการ นี่ก็เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าจากเฟซบุ๊กแล้ว วิธีหลีกหนีอาการนี้ก็คือ ลดการเล่นเฟซบุ๊กลง ทั้งอ่านเรื่องคนอื่น และโพสต์เรื่องตัวเอง จะได้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น


         อาการนี้ก็คือ ถึงแม้เราจะนอนแต่ก็ยังลุกขึ้นมาพิมพ์เหมือนกับคนละเมอนั่นเอง  สาเหตุก็มาจากพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟนเกินเหตุ ทำให้สมองยึดติดกับโทรศัพท์อยู่ทุกขณะจิต แม้กระทั่งเวลานอน หากมีข้อความเข้ามา สมองก็จะปลุกร่างกายที่หลับใหลให้อยู่ในสภาวะละเมอ แล้วกดส่งข้อความไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราอาจไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรไป หรือส่งไปหาคน เพราะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น แบบนี้ก็เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดได้เลยนะเนี่ย นอกจากเสี่ยงต่อความเข้าใจผิดแล้ว อาการละเมอแชทยังกระทบสุขภาพด้วย เพราะเมื่อสมองปลุกให้เราตื่นในช่วงนี้ร่างกายก็จะนอนหลับไม่สนิทเต็มที่ เป็นเหตุให้พักผ่อนไม่พอ กระทบมาถึงระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้สะสมความเครียด เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ฝันร้าย กระทบต่อการเรียนและการทำงานได้เลยล่ะสาเหตุก็มาจากพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟนเกินเหตุ กระทบมาถึงระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้สะสมความเครียด เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ฝันร้าย กระทบต่อการเรียนและการทำงานได้

          3.โรควุ้นในตาเสื่อม
           ปกติเราก็ใช้งานดวงตาหนักอยู่แล้ว และถ้ายิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเพ่งข้อความในจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ก็ยิ่งทำให้ดวงตาของเราก็ทำงานหนักขึ้นแบบคูณสอง จะบอกว่าจริง ๆ แล้วโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ เพราะใช้งานดวงตามานานจนเสื่อมไปตามวัย แต่น่าตกใจทีเดียวที่ปัจจุบันพบคนอายุน้อย ๆ เป็นโรคนี้มากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการแชททั้งวัน จ้องจอทั้งคืน เล่นเกม ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ ไม่ว่างเว้นนี่เอง พอรู้สึกปวดตาก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก มารู้ตัวอีกทีก็เห็นภาพเป็นคราบดำ ๆ เป็นเส้น ๆหากมองเห็นหยากไย่ ตาข่าย หรือเส้นอะไรวนไปวนมาเหมือนยุง ปัดเท่าไรก็ไม่โดนสักที นี่คือ "โรควุ้นในตาเสื่อม"วิธีป้องกันก่อนเป็นโรควุ้นในตาเสื่อมก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักพักสายตาเสียบ้าง มองไปในที่ไกล สูดอากาศธรรมชาติให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย หลับตาลงสักครู่ รู้จักใช้งานเทคโนโลยีในมืออย่างพอเหมาะ ก็จะช่วยให้หลีกเลี่ยงโรคนี้ได้แล้ว



          4.โนโมโฟเบีย (Nomophobia)



ชื่อประหลาด ๆ นี้ มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" แปลตรงตัวก็คือ โรคกลัวไม่มีมือถือใช้ เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มวิตกกังวลหมกมุ่นอยู่กับการเช็คข้อความในมือถือ  คิดดูว่าถ้าเราอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือจู่ ๆ แบตเตอรี่โทรศัพท์ดันหมดซะงั้น แล้วเรารู้สึกหงุดหงิด กระวนกระวาย หรือใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนตรงหน้า ก็ยิ่งชัดแสดงว่าเข้าเค้าอาการโนโมโฟเบียแล้วล่ะ ในบางคนเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก คลื่นไส้ได้เลย ซึ่งอาการจะหนักเบาขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละคน สำรวจตัวเองดูหน่อยซิว่า เราหมกมุ่นอยู่กับการเช็กข้อความในมือถือ ชอบหยิบขึ้นมาดูบ่อย ๆ หรือเปล่า หรือทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเตือนจากมือถือจะต้องวางภารกิจทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าแล้วรีบคว้าโทรศัพท์มาเช็กแบบด่วนจี๋ทันใจ ใครเป็นแบบนี้ก็เข้าข่ายโนโมโฟเบียแล้วล่ะจ้า ยิ่งถ้าตื่นนอนปุ๊บเช็กมือถือปั๊บ ห่างจากมือถือไม่ได้เลย หรือใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนตรงหน้า ก็ยิ่งชัด ใครที่มีอาการอย่างที่กล่าวว่า ต้องระวังปัญหาสุขภาพให้มาก ๆ โดยเฉพาะนิ้วล็อก ปวดตา ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ หมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ รวมทั้งอาการนอนไม่หลับ และโรคอ้วนที่เกิดจากมัวแต่นั่งเล่นมือถือนาน ๆ ไม่ลุกไปไหนด้วยนะ  

  
          5.โรคสมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone face)



          เกิดจากการที่เราก้มลงมองหน้าจอ หรือจ้องสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ตเป็นเวลานานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อคอเกิดอาการเกร็งและไปเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม ทำให้เส้นใยอิลาสติกบนใบหน้ายืด จนแก้มบริเวณกรามย้อยลงมา แถมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากก็จะตกไปทางคางด้วย จนใบหน้าอาจดูผิดแปลกไป น่ากลัว เมื่อแก้มถูกแรงกดนาน ๆ เข้า ก็จะทำให้เส้นใยอิลาสติกบนใบหน้ายืด จนแก้มบริเวณกรามย้อยลงมา แถมกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากก็จะตกไปทางคางด้วย จนใบหน้าอาจดูผิดแปลกไปจากเดิม และจะเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ของตัวเอง ฟังแล้วน่ากลัวนะเนี่ย หากใครเป็นมาก ๆ เข้าก็ถึงกับต้องศัลยกรรมกันเลยนะ





          6. นิ้วล็อค
"นิ้วล็อค" เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกกันง่ายๆ ตามอาการที่เป็น คือผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนนิ้วล็อค นั่นคือ กำมืองอนิ้วได้ แต่เวลาเหยียดนิ้วออก นิ้วใดนิ้วหนึ่งเกิดเหยียดไม่ออกเหมือนโดนล็อคไว้ จึงเป็นที่มาของคำว่า "นิ้วล็อค" ถ้าเรียกกันให้ถูกต้องแล้ว โรคนี้ต้องเรียกว่า "โรคนิ้วเหนี่ยวไกปืน" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Trigger Finger" เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื้อหุ้มเส้นเอ็นงอนิ้ว ซึ่งอยู่ที่บริเวณฝ่ามือตรงตำแหน่งโคนนิ้ว มีโอกาสเป็นได้ทุกนิ้ว ผู้ป่วยบางคนอาจจะเป็น 2 หรือ 3 นิ้วพร้อมกัน  อย่างไรก็ตาม โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอายุที่พบบ่อยอยู่ที่ประมาณ 40 - 50 ปี โดยมากจะเกิดกับผู้ที่ใช้งานมือในลักษณะเกร็งนิ้วบ่อยๆ เช่น การทำงานบ้านต่างๆ การบิดผ้า การหิ้วของหนัก การใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ตัดผ้า การยกของหนักต่างๆ เป็นต้น 




CR Data1 : http://www.thaihealth.or.th/Content/24642-5%20%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%AD.html

CR Data2 : http://health.kapook.com/view90153.html

CR Data3 : http://hilight.kapook.com/view/22613